เปิดคู่มือแผนการเสริมสร้างความมั่นใจให้แพทย์แผนตะวันตก

ในยุคที่โลกให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น “สมุนไพรไทย” กำลังได้รับการผลักดันให้ก้าวสู่แนวหน้าของระบบบริการสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุด กรมการแพทย์ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ จัดทำ “แนวทางการใช้ยาสมุนไพรในเวชปฏิบัติ” สำหรับแพทย์แผนตะวันตก โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพรไทยควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน เพิ่มทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพแก่ผู้ป่วย พร้อมผลักดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก

ภายในคู่มือได้แบ่งยาสมุนไพรออกเป็น 6 กลุ่มโรคหลัก ได้แก่

  • กลุ่มอาการทางเดินอาหาร เช่น
    • ขมิ้นชัน บรรเทาอาการแน่นท้อง ท้องอืด
    • ขิง ลดอาการคลื่นไส้และปวดท้อง
    • เพชรสังฆาต บรรเทาริดสีดวงทวาร
  • กลุ่มทางเดินหายใจ เช่น
    • ฟ้าทะลายโจร ช่วยลดไข้ แก้เจ็บคอ
    • ปราบชมพูทวีป ลดอาการไอ
    • มะขามป้อม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ บำรุงปอด

 

  • กลุ่มกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น
    • ไพล ลดอาการฟกช้ำ เคล็ดขัดยอก
    • เถาวัลย์เปรียง บรรเทาอาการปวดเมื่อย
    • เจลพริก ลดอาการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะที่

 

  • กลุ่มโรคมะเร็ง
    • ว่านหางจระเข้ ช่วยลดอาการแสบผิวหนังจากรังสีรักษา

 

  • กลุ่มสมองและระบบประสาท
    • CBD enriched (CBD:THC 1:1) ใช้ในผู้ป่วยลมชักที่ดื้อต่อการรักษา
    • มณีเวช ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวด

 

  • กลุ่มผิวหนัง เช่น
    • พญายอ บรรเทาอาการผื่นคันจากแมลงกัดต่อย
    • ขมิ้นชัน ต้านการอักเสบของผิวหนัง

 

หมายเหตุ: การใช้ยาสมุนไพรทุกชนิดควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อน เนื่องจากอาจมีข้อจำกัดหรือผลข้างเคียงเฉพาะบุคคล รวมถึงอาจมีปฏิกิริยากับยาแผนปัจจุบัน

กรมการแพทย์ยืนยันว่า คู่มือการใช้ยาสมุนไพรนี้มีไว้สำหรับแพทย์เพื่อใช้ประกอบการรักษาทางคลินิก โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำ ฉบับประชาชน เพื่อให้ข้อมูลอย่างเหมาะสมและปลอดภัย หากจัดทำเสร็จสิ้น จะมีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ

ยาสมุนไพรไทยมิใช่เป็นเพียงภูมิปัญญาท้องถิ่น แต่กำลังได้รับการพัฒนาด้วยมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกที่มีคุณภาพในระบบสุขภาพระดับประเทศ หากได้รับการใช้อย่างเหมาะสม ยาสมุนไพรอาจกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญในการพัฒนาสุขภาพคนไทย และเป็นโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจสุขภาพในอนาคต ทั้งในประเทศและระดับโลก

ข้อมูลเพิ่มเติม : กรมการแพทย์
Link :https://www.dms.go.th/


คำค้น

ความคิดเห็น

สงวนลิขสิทธิ์ 2022 โดย กรมประชาสัมพันธ์
สถิติการเข้าชม : 89,992,599