หลังกลุ่มประเทศสมาชิกในยุโรปล่าสุด (ปี2565) มีข้อกำหนดนโยบาย และออกเป็นกฎระเบียบบังคับให้บริษัทผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติก
และวางขายในท้องตลาดต้องจัดทำแผนการกำจัดบรรจุภัณฑ์ให้ชัดเจน มีการกำหนดเรื่องของกระบวนการผลิต ซึ่งจะถูกตรวจสอบตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบว่านำมาจากสถานที่ใดสร้างผลกระทบต่อชุมชน และสังคมหรือไม่ สารที่ใช้เป็นส่วนประกอบบรรจุภัณฑ์คืออะไร และบรรจุภัณฑ์นำกลับมาใช้ใหม่ได้หรือไม่ ซึ่งต้องไม่ใช่แบบใช้ครั้งเดียว (Single use) รวมทั้งยังกำหนดให้ทำสัญลักษณ์หรือฉลากบนถุงที่ย่อยสลายได้ โดยปี 2567 ประเทศสมาชิกจะต้องเข้าร่วม
“โครงการขยาย ความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR)” เพื่อให้ผู้ผลิตรับผิดชอบต่อบรรจุภัณฑ์ตลอดช่วงชีวิตของบรรจุภัณฑ์
สำหรับประเทศไทยโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อปีที่ผ่านมา (ปี 2565) ได้ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนการจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วยหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิตขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมมือกันในการจัดทำนโยบาย EPR ที่เหมาะสม เพื่อให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะจากขยะบรรจุภัณฑ์ และกรมควบคุมมลพิษ อยู่ระหว่างพิจารณายกร่างเป็นกฎระเบียบ หรือกฎหมายเพื่อให้เกิดการบังคับใช้ในอนาคตต่อไป
จากที่ก่อนหน้านี้หลักการ EPR : Extended Producer Responsibility ได้บรรจุไว้ในแผนการจัดการขยะพลาสติก พศ. 2562-2573 และแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก ระยะที่ 1 (2563-2565) กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แม้ยังไม่ออกเป็นกฎหมาย แต่ภาครัฐบาลและเอกชนร่วมกันรณรงค์ ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป เพื่อให้เข้าใจกลไกการดำเนินงานของหลักการ EPR ที่ผู้ผลิตต้องมีความรับผิดชอบไปยังช่วงต่าง ๆ ของวงจรชีวิตบรรจุภัณฑ์ เริ่มตั้งแต่การคิดและการออกแบบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก การจัดส่งกระจายสินค้า การรับคืน
และการเก็บ รวบรวมซากผลิตภัณฑ์ การใช้ซ้ำจนนำมาสู่การนำกลับมาใช้ใหม่ เพื่อให้เกิดเป็นกระบวนการที่ยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ได้อย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy : CE) และเป็นการแก้ปัญหาขยะอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งผลเสียหรือสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ
เบอร์โทรศัพท์:+66 2298-2000