รองนายกฯ และ รมว.คลัง โชว์ความก้าวหน้าด้านการเงินดิจิทัลของไทยในที่ประชุม รมต.คลังเอเปค

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting: APEC FMM) ครั้งที่ 32 การประชุมรัฐมนตรีด้านการปฏิรูปโครงสร้างเอเปค (APEC Structural Reform Ministerial Meeting: APEC SRMM) ครั้งที่ 4 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 21–23 ตุลาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผลการประชุม APEC FMM ครั้งที่ 32 ในวันที่ 21 ตุลาคม 2568 ดังนี้

การประชุม APEC FMM ครั้งที่ 32 จัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก “การเติบโตที่ยั่งยืนและความมั่งคั่งร่วมกันในภูมิภาค (Sustainable Growth and Shared Prosperity in the Region)” โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจเอเปคอีก 20 เขต ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก การเงินดิจิทัล และนโยบายการคลัง สรุปได้ดังนี้

1. แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและภูมิภาค
ที่ประชุมแสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความเปราะบาง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การขาดแคลนแรงงาน และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น สังคมสูงอายุ และการปฏิวัติเทคโนโลยี เป็นต้น

2. การเงินดิจิทัล
ที่ประชุมได้หารือถึงบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และแพลตฟอร์มดิจิทัลในเทคโนโลยีทางการเงิน เพื่อพัฒนาการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงินให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises: MSMEs) และประชาชนผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจำเป็นต้องมาพร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล การลดการเลือกปฏิบัติ และการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินในภาพรวม
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอความสำเร็จของระบบ PromptPay ที่มีผู้ใช้กว่า 80 ล้านบัญชี พร้อมขยายความร่วมมือในระดับภูมิภาคผ่านโครงการ Project Nexus และการพัฒนา ARI Score ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินเครดิตทางเลือกใหม่ โดยใช้ AI ที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงทางการเงินแก่ประชาชนทั่วไปและธุรกิจขนาดเล็ก

3. นโยบายการคลังเพื่ออนาคต
ที่ประชุมเห็นพ้องว่า ท่ามกลางข้อจำกัดด้านงบประมาณ รัฐบาลควรมุ่งให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ เพื่อสนับสนุนการเติบโตระยะยาว โดยเฉพาะการลงทุนในดิจิทัล พลังงานสะอาด และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้เสนอกรอบแนวทางการใช้นโยบายการคลังของไทยภายใต้หลัก 3P ได้แก่
(1) Precision – การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการกำหนดนโยบายให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่เปิดให้ลงทะเบียนกว่า 20 ล้านคนภายในวันเดียว โดยใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลเพื่อช่วยจ่ายค่าสินค้าและบริการที่จำเป็น
(2) Priorities – การกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก ยกระดับผลิตภาพ และลงทุนในทุนมนุษย์ โดยเฉพาะด้านทักษะดิจิทัลและทักษะสีเขียว เพื่อเตรียมพร้อมประชาชนต่อการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและเทคโนโลยี AI
(3) Partnerships – การระดมทุนและส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน ผ่านรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public–Private Partnership: PPP) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระทางการคลัง พร้อมรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด โดยรักษาเพดานหนี้สาธารณะ และควบคุมการขาดดุลงบประมาณให้อยู่ไม่เกินร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP)

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรอง แถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประจำปี 2568 ซึ่งสะท้อนเจตนารมณ์ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลัง เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน และเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้ความสำคัญกับนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ยืดหยุ่น มาตรการทางการคลังที่ยั่งยืน การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ และการเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โดยใช้ “แผนปฏิบัติการอินชอน (Incheon Action Plan)” เป็นกรอบการดำเนินงานด้านนโยบายการคลัง การเข้าถึงทางการเงิน และนวัตกรรมในภูมิภาคเอเปคในระยะ 5 ปี

ความคิดเห็น

สงวนลิขสิทธิ์ 2022 โดย กรมประชาสัมพันธ์
สถิติการเข้าชม : 105,413,689