สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
โดยอธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ
วันศุกร์ที่ 25 กรกฎาคม 2568 เวลา 16.00 น.
1. พัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
- ตั้งแต่เหตุการณ์การโจมตีเริ่มต้นขึ้นโดยฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 สถานการณ์การปะทะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชายังคงเป็นฝ่ายเริ่มต้นการโจมตีทหารไทยก่อน สถานการณ์ในพื้นที่ยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว กองทัพไทยได้เร่งดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ตกค้าง โดยเฉพาะในจุดเกิดเหตุสำคัญ เช่น ปั๊มน้ำมันในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนและเพื่อรักษาความมั่นคงในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด
- เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชา และขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียที่เกิดจากการปะทะที่เริ่มต้นขึ้นโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีการสูญเสียชีวิตของทหารไทยและพลเรือนที่บริสุทธิ์ รวมทั้งทรัพย์สินของประชาชนที่ได้รับความเสียหาย เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้นและไม่อาจยอมรับได้
- การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการละเมิดศีลธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซึ่งควรได้รับการประณามจากประชาคมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่
- จากรายงานล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข เมื่อเวลาประมาณ 00 น. ของวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้จำนวน 13 ราย ซึ่งในจำนวนนี้มีเด็กอายุ 8 ขวบและ 15 ขวบรวมอยู่ด้วย ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมด 33 ราย เหตุการณ์การปะทะยังคงเกิดขึ้นกระจายอยู่ใน 4 จังหวัดชายแดน ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี
- ขณะนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการเร่งรัดการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงไปยังจุดปลอดภัย และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกฝ่ายกำลังดำเนินการอย่างเต็มความสามารถเพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย พร้อมทั้งดูแลความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างสุดความสามารถ
2. การชี้แจงต่อประชาคมระหว่างประเทศ
- ตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงก่อนหน้าเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการทางการทูตต่อสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 กระทรวงฯ ได้มีการส่งหนังสือประท้วงไปยังฝ่ายกัมพูชาแล้ว รวมถึงการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต และได้มีหนังสือไปยังเลขาธิการสหประชาชาติอีกด้วย
- นอกจากนี้ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทย ประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้เข้าพบเอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรปากีสถาน ณ นครนิวยอร์ก ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ประจำเดือนกรกฎาคม 2568 เพื่อยื่นหนังสือชี้แจงเหตุการณ์การใช้กำลังทางทหารที่เริ่มโดยฝ่ายกัมพูชา รวมถึงการละเมิดพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงขอให้เวียนหนังสือดังกล่าวของไทยเป็นเอกสารของ UNSC เพื่อให้ประเทศสมาชิก UNSC ได้รับทราบอย่างเป็นทางการ
- โดยในเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของนครนิวยอร์ก หรือประมาณ 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะจัดการประชุมแบบปิด (Private meeting) เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งการประชุมในลักษณะนี้ถือเป็นการประชุมปกติที่จัดขึ้นเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะระหว่างสองประเทศ โดยไม่ใช่การประชุมเพื่อลงมติใดๆ แต่เป็นเพียงการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วยสมาชิก UNSC ทั้ง 15 ประเทศ รวมทั้งไทยและกัมพูชา โดยจะมีผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมและชี้แจงในเรื่องนี้ ได้แก่ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก
3.ข้อเท็จจริงกรณีความเสียหายต่อปราสาทพระวิหาร
- ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์แห่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาว่ากองทัพไทยได้รุกรานและสร้างความเสียหายต่อปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่คุ้มครองแหล่งวัฒนธรรมภายใต้กรอบยูเนสโก ข้อเท็จจริงคือ การปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการยิงก่อนในพื้นที่ห้วยตามะเรียและภูมะเขือ ซึ่งห่างจากปราสาทพระวิหารถึง 2 กิโลเมตร จึงไม่สามารถมีการกระทบกระเทือนใดๆ ต่อปราสาทพระวิหารได้ และฝ่ายไทยจะชี้แจงในเรื่องนี้โดยการส่งหนังสืออย่างเป็นทางการ
- กระทรวงการต่างประเทศ ขอส่งกำลังใจให้ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนทุกท่าน และขอให้มั่นใจว่า รัฐบาล และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะปกป้องอธิปไตยของประเทศและดูแลสวัสดิภาพของประชาชนที่ได้รับผลกระทบบริเวณชายแดนอย่างสุดความสามารถ
- ความขัดแย้งและการปะทะที่เกิดขึ้นนี้ เป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ ไม่ใช่เป็นปัญหาระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ จึงขอให้ประชาชนแยกสองส่วนนี้ออกและคำนึงว่าไทยและกัมพูชาก็ยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องอยู่ร่วมกันต่อไป
#CambodiaOpenedFire #HospitalNotATarget #RespectInternationalLaw #StandWithThailand